วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อ่านใจคน

สุภาษิตจีน กล่าวว่า "รู้จักคน รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ"
สิ่งที่คนค้นหา อาจไม่ใช่ "ใจ" ของใคร แต่ต้องการ "ความจริงใจ"
คนสวมหน้ากาก วัตถุประสงค์คือไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นหน้าอันแท้จริง แสดงว่ามีสิ่งที่ควรปกปิดไม่อาจเปิดเผยต่อผู้คนได้ ใบหน้าที่สวยงาม ย่อมอยากเปิดเผย อยากให้คนได้เห็นได้ชื่นชม จริงไหม ฉะนั้นคนที่สวมหน้ากากย่อมมีสิ่งไม่สวยงามปกปิดอยู่ ท่านจึงควรให้อภัยเขาเถอะ สังคมมีอะไรที่ไม่สวยงามอีกเยอะแยะ เราไม่สามารถทำให้มันดูดีไปหมดได้หรอก ข้อสำคัญเราต้องอยู่กับคนอื่นให้ได้ แม้ว่าจะต้องอยู่กับคนสวมหน้ากากที่ไม่อาจรู้จักหน้า และใจเขาอย่างแท้จริงก็ตามเถอะ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องอ่านนิสัย เพื่อค้นหาตัวตนของเขา โดยสังเกตจากสิ่งต่อไปนี้

อ่านนิสัยใจคอจากการสนทนา

การสนทนา...เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของผู้ที่เรา กำลังสนทนาอยู่ด้วยได้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ที่เรากำลังสนทนาอยู่ด้วยก็ ตาม...การวิเคราะห์ลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้เป็นการศึกษา ค้นคว้าและเก็บตัวอย่างโดยนักจิตวิทยา เราจึงมั่นใจได้ว่าหลักการ ดังที่เราจะศึกษาต่อไปนี้น่าจะมีความถูกต้องแม่นยำอยู่พอสมควรทีเดียว


ชอบบ่นเรื่องเงินเดือนกับผู้อื่น

ถ้าในวงสนทนาที่คุณกำลังสนทนาอยู่นั้นมีผู้บ่นว่าได้เงินเดือนน้อย ไม่พอใช้จ่ายหรือไม่คุ้มค่าเหนื่อยนั้น แสดงว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่ไม่มีความจริงใจในการทำงาน ไม่มีความคิดจะตั้งอกตั้งใจทำงานของตนให้ดี คนเช่นนี้นอกจากจะไม่จงรักภักดีในองค์กรหรือบริษัทที่ตนทำงานอยู่แล้ว ยังเป็นคนที่ไม่รู้จัก แสวงหาความก้าวหน้าให้กับชีวิตของตนเองอีกด้วย...


ชอบนินทาหัวหน้า

คนที่ชอบนำหัวหน้าของตัวเองไปเป็นหัวข้อในการสนทนา เช่นมักกล่าวหาว่าหัวหน้าของตัวเองไม่เก่งบ้าง มีความสามารถไม่พอบ้าง หรือตำหนิในเรื่องต่างๆที่หัวหน้าของตนเองทำผิดพลาด คนเช่นนี้มักเป็นคนที่ไม่ค่อยจะให้ความนับถือใครอย่างจริงจัง มักชอบดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น และถือตนว่าตัวเองเก่งมีความสามารถ ทั้งๆที่อาจจะไม่มีเลยก็ได้ และคนลักษณะดังกล่าวนี้มักจะเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูงแต่ขาดความกล้า หาญที่จะแสดงความคิดเห็นของตนอย่างที่ควร...


ชอบรำลึกอดีต

ผู้ที่ชอบพูดรำลึกถึงอดีตที่ตนเคยได้รับความสำเร็จอย่างงดงามมาก่อนนั้น บุคคลผู้นั้นมักจะเป็นผู้ที่ยังคงคิดว่าตนเองยังคงล้มเหลวอยู่เสมอ และยังคงอยากสร้างความรุ่งโรจน์ให้ชีวิตตนเองอีกสักครั้งทั้งๆที่จริงแล้ว ชีวิตในขณะนั้นอาจจะดีกว่าที่ผ่านมาด้วยซ้ำ แต่เขายังคงคิดถึงและโหยหาวันเวลาในช่วงอดีตอย่างมากกว่าเท่านั้นเอง...


ชอบวางแผน

สำหรับผู้ที่ชอบพูดถึงการวางแผนในโครงการต่างๆอยู่เสมอ แต่มิได้ลงมือทำสักที คนลักษณะดังกล่าวนี้เป็นบุคคลที่ยังรู้สึกไม่พอใจในชีวิตของตนเอง ในขณะนั้น แม้จะมีความทะเยอทะยาน อยากจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ขาดความมั่นใจในการปฏิบัติ จึงมักพยายามพูดถึงแผนการต่างๆอยู่เสมอ


ชอบไถ่ถาม

ผู้ที่ชอบไถ่ถามหรือไต่สวนเรื่องราวผู้อื่นมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายยอมตอบคำถาม คนอื่น เช่น มักถามว่าคุณทำงานที่ไหน มีพี่น้องกี่คน มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างในเรื่องนั้นเรื่องนี้ แสดงถึงเขาผู้นั้นมักเป็นคนที่ชอบแสวงหาอำนาจ อยากรู้ข้อดีข้อเสียของผู้อื่นเพื่อที่จะได้ตีสนิทหรือสามารถ ครอบงำ อีกฝ่ายได้โดยง่าย...


ชอบคุยแต่เรื่องตัวเอง

ผู้ที่ชอบดึงหัวข้อในการสนทนาให้วกมาที่เรื่องของตัวเองเสมอๆ โดยไม่มีผู้ใดเอ่ยขึ้นก่อน คนลักษณะเช่นนี้นั้นบ่งบอกถึงเป็นบุคคลที่พยายามจะยกตนเองเป็นศูนย์กลางของ ทุกสิ่ง คนประเภทนี้มักมีความเก็บกด จึงอยากจะเป็นที่ชื่นชมและสนใจของผู้อื่นบ้าง ซึ่งแท้จริงแล้วเขาอาจจะไม่มีความภูมิใจใน เรื่องราวที่เขาพูดคุยออกมาเลยก็ได้ แต่เขาพยายามคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาดูดีขึ้นมาได้บ้าง


ชอบลูบเส้นผมตัวเอง

ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม ถ้าหากคุณเห็นใครคนหนึ่งเวลาพูดคุยหรือในยามเผลอตัว มักชอบเอามือมาลูบเส้นผมของตนเล่นเสมอๆ คุณจะสามารถเดาได้ ทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นบุคคลประเภทช่างอ่อนไหว คิดมาก สะเทือนใจง่าย และมักมีเรื่องราวให้ต้องครุ่นคิดในใจอยู่อย่างมากมายเสมอ จิตใจของบุคคลดังกล่าวนี้มีความอ่อนโยน เป็นมิตรและโรแมนติก แต่ติดเจ้าอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก


ชอบสัมผัสใบหน้า

ในขณะที่คุณกำลังพูดคุยอยู่กับใครก็ตามแล้วคนผู้นั้นมักชอบเอามือไปสัมผัส กับใบหน้าของตัวเองอยู่เสมอๆ ไม่ว่าบริเวณใดก็ตาม แสดงว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่ไม่ค่อยจะมีความมั่นใจในตัวเองนัก และอีกอย่างก็คือบุคคลดังกล่าวกำลังมีความหวาดหวั่นในความผิดพลาดหรือข้อ ด้อยบางอย่างของตัวเองที่ปิดบังซ่อนเร้นไว้ จะถูกเผยออกมา


ชอบเลียริมฝีปาก

ผู้ที่กำลังพูดคุยอยู่กับเพศตรงข้าม และมักจะเผลอแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเพราะริมฝีปากแห้ง หรือเพราะเหตุผลใดๆก็ตาม ลักษณะดังกล่าวนี้บ่งบอก ถึงว่าคนผู้นั้นกำลังมีความสนอกสนใจเพศตรงข้ามผู้ที่ตนเองกำลังสนทนาอยู่ ด้วยในขณะนั้นนั่นเอง


ชอบสัมผัสที่ติ่งหู

ผู้ที่ชอบยกมือไปสัมผัสติ่งหูของตนเอง หรือดึงติ่งหูเล่นในขณะสนทนา แสดงถึงว่าเขาผู้นั้นกำลังรู้สึกเบื่อและปรารถนาจะให้การสนทนานั้นยุติลงโดย เร็ว เพราะไม่สามารถที่จะทนฟังต่อไปได้อีกแล้ว


ชอบเกาศีรษะ

ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดคุย แต่ถ้าผู้ใดก็ตามที่เผลอยกมือไปเกาศีรษะเบาๆ ก็ย่อมแสดงได้ว่าเขาผู้นั้นเริ่มรู้สึกว่าการสนทนานี้ไม่น่าสนใจนัก และอยากให้ผู้อื่นพูดคุยถึงเรื่องราวของเขาบ้าง คนที่มักเผลอเกาศีรษะในขณะพูดคุยกันมักเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง ชอบที่จะเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ


ชอบนั่งไขว่ห้าง

ผู้ที่มักชอบนั่งไขว่ห้างในขณะสนทนาคือผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นคนที่ชอบคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเองและปรารถนาที่จะให้ตนเองเป็นที่ได้ รับความสนใจจากเพศตรงข้าม คนที่มักชอบนั่งไขว่ห้างอยู่เสมอๆ มักมีความดื้อรั้น เชื่อถือในความคิดเห็นของตนเองมากแต่ก็แคร์ในความรู้สึกของผู้อื่นเช่นเดียว กัน


คนพูดเร็ว

ถ้าคู่สนทนาของคุณเป็นคนที่มีจังหวะในการพูดยามปรกติค่อนข้างเร็วนั้น ย่อมแสดงถึง เขาผู้นั้นเป็นบุคคลที่ช่างพูดช่างเจรจา สามารถโต้เถียงได้เก่งกาจ มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งก้าวร้าวไม่ยอมใคร


คนพูดช้า

คนที่มีจังหวะในการพูดค่อนข้างช้า เป็นคนที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจในตัวเอง แต่จริงๆแล้วเป็นคนยึดมั่นแต่ในความคิดของตนเองเป็นใหญ่ อยู่เสมอ ดื้อเงียบ มักคิดเรียบเรียงคำพูดไว้ในใจก่อนจะพูดเสมอ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นิยามของความรัก

มีผู้ให้คำนิยามของความรักไว้หลายอย่าง แต่อาจสรุปอย่างกว้างๆ ได้ว่า ความรักเป็นความรู้สึกพิเศษที่บุคคลมีต่ออีกคนหนึ่ง
Lasswell กล่าวว่า ความรักมีหลายแบบ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ในช่วงต้นของการจีบกัน ชายหญิงจะมีความรักแบบ โรแมนติก (Romantic Love), เมื่อเวลาผ่านไป ความรักที่มี เหตุผล (Logical - Sensible Love) ก็จะเกิดขึ้น, และเมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ความรัก ฉันท์เพื่อน ( Lifelong Friendship) ก็จะเกิดขึ้นแทนที่
ในช่วงเริ่มจีบกันใหม่ ๆ ชายหญิงจะอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "Idealization" คือ มองอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอุดมคติ เห็นแต่คุณสมบัติอัน เลิศเลอ เพอร์เฟค ของคนรักตัวเองโดยไม่เห็นข้อบกพร่องใด ๆ (ไม่มีใครหล่อ รวย เก่ง ดี เท่าคนที่เรารักอีกแล้ว) บางครั้งจะมองเฉพาะสิ่งที่เขาอยากเห็น ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ, ต่างฝ่ายพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความตื่นเต้นจะลดลงและความจริงก็จะชัดเจนขึ้น จนอาจทำให้ยอมรับข้อบกพร่องของกันได้ยาก แต่หากความรักได้เติบโตและมีวุฒิภาวะที่มากขึ้น คู่รักก็จะยอมรับข้อบกพร่องของกันได้ เพราะรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ
ในหลายคู่ ความรักแบบโรแมนติกไม่ได้พัฒนาไปเป็นความรักที่ maturity จึงเกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง เช่น เกิดความผิดหวังเสียใจที่เขาหัวล้าน พุงพลุ้ย รสนิยมไม่ดี ไม่หล่อ ไม่เท่ อย่างที่คิด จนต้องเลิกรากันไปในที่สุด

ต้นกำเนิดของความรัก


เป็นที่สงสัยกันมาช้านานว่า ความรักนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร
ชาวกรีกและโรมัน ในสมัยโบราณ ยกย่องให้ Aphrodite หรือวีนัส ในฐานะของเทพีแห่งความงาม และเป็นผู้ให้กำเนิดความรัก โดยมี อีรอส หรือคิวปิด บุตรชายเป็นผู้แผลงศรรักแก่มนุษย์ สัตว์ เทพ แล้วทำให้บุคคลเหล่านั้นรักกัน
ชาวอารยัน ในลุ่มแม่น้ำสินธุ ก็มีความเชื่อคล้าย ๆ กันที่ว่า พระลักษมี เป็นเทพีแห่งความงามและความรัก โดยมี กามเทพ พระโอรสเป็นผู้มอบความรักเหล่านั้นแด่มวลมนุษย์
ความเชื่อที่คล้ายกันอย่างหนึ่งก็คือ ความรักมักมาคู่กับความงาม ดังนั้น ความรักก็น่าจะเป็นสิ่งที่สวยงาม
ไม่มีใครทราบอยู่ดีว่าความรักนั้น แท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ มันได้สร้างปัญหาให้กับโลกใบนี้มานานกว่าหมื่นปี

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การดำรงชีวิตอย่างมีความสุข


การดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

คนที่มีความสุข คือคนที่มีความสมหวัง เป็นคนที่สามารถประกอบกิจการงานประสบความสำเร็จตามความปรารถนา มีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวหรือวิตกกังวล มีอารมณ์มั่นคง มีความอดทนและมีความสามารถต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ ได้ เป็นคนที่ยอมรับความจริงในชีวิต ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม กล่าวโดยสรุป คนที่มีความสุขก็คือ คนที่มีสุขภาพดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เป็นคนที่สามารถปรับตัวได้อย่างดีในการดำรงชีวิตประจำวันความสุขเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เป็นการมองชีวิต มองตัวเอง และมองผู้อื่น ดังนั้นความสุขจึงเกิดขึ้นได้กับคนทุกชั้นไม่ว่า ผู้ดี มั่งมี หรือยากจน แนวความคิดทางด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา

จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ

ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย

ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย

กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา

ประวัตินักจิตวิทยา



เคน วิลเบอร์

เคน วิลเบอร์
(อังกฤษ: Ken Wilber ชื่อเต็ม Kenneth Earl Wilber Jr.) เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่เมืองโอคลาโฮมาซิตี สหรัฐอเมริกาเป็น
นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักทฤษฎีคนสำคัญของโลก เขาพัฒนาทฤษฎีที่มีชื่อว่า ทฤษฎีบูรณาการ โดยวางอยู่บนกระบวนทัศน์แม่บท (meta-paradigm) คือ "ทุกคนถูกต้อง" เขาเขียนหนังสือเล่มแรกตั้งแต่อายุ 23 ปี ชื่อ The Spectrum of Consciousness หนังสือเล่มสำคัญเล่มอื่น ๆ ของเขาได้แก่ Sex, Ecology, Spirituality และ A Brief History of Everything

จอห์น ดูอี

จอห์น ดูอี (อังกฤษ: John Dewey) (20 ตุลาคม ค.ศ. 18591 มิถุนายน ค.ศ. 1952) เป็นนักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกัน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ ในปี ค.ศ. 1879 หลังจากนั้นใช้เวลาว่างช่วงสั้นๆ เป็นอาจารย์สอนพิเศษที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ก่อนจะกลับมาศึกษาต่อจนจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ในปี ค.ศ. 1884

ดูอีเคยดำรงตำแหน่งคณบดีคณะวิชาปรัชญา จิตวิทยา และการสอน ของมหาวิทยาลัยชิคาโก เขามีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกแนวคิดและวิธีการสอนแบบใหม่ๆ ทั้งยังได้สร้างโรงเรียนสาธิตขึ้นเพื่อใช้สำหรับทดสอบพัฒนาและวิเคราะห์ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนการสอนและที่สำคัญ ยังถือได้ว่าเขาเป็นนักปรัชญาทางการศึกษาแนวหน้าของโลก โดยมีปรัชญามากมายซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาที่แตกแขนงออกไปอย่างมากมาย

ซิกมันด์ ฟรอยด์

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (อังกฤษ: Sigmund Freud, IPA: [ˈziːkmʊnt ˈfrɔʏ̯t], 6 พ.ค. 239923 ก.ย. 2482) เป็นนักจิตวิทยาชาวออสเตรีย เป็นผู้ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนา Psychosexual โดยเชื่อว่าเพศหรือกามารมณ์ เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของมนุษย์ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากการสนใจศึกษา และสังเกตผู้ป่วยโรคประสาทด้วยการให้ผู้ป่วยนอนบนเก้าอี้นอนในอิริยาบทที่สบายที่สุด จากนั้นให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องราวของตนเองไปเรื่อย ผู้รักษาจะนั่งอยู่ด้านศีรษะของผู้ป่วย คอยกระตุ้นให้ ผู้ป่วยได้พูดเล่าต่อไปเท่าที่จำได้ และคอยบันทึกสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าอย่างละเอียด โดยไม่มีการขัดจังหวะ แสดงความคิดเห็น หรือตำหนิผู้ป่วย ซึ่งพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้รักษาได้ข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้ป่วย และจากการรักษาด้วยวิธีนี้เองจึงทำให้ฟรอยด์เป็นคนแรกที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์


วัลลภ ปิยะมโนธรรม

ดร. วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของความไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดและวิธีการบำบัดปัญหาทางจิตกรณีต่าง ๆ โดยเฉพาะ กลุ่มคนรักร่วมเพศ ที่ ดร.วัลลภ มีความเห็นว่า พฤติกรรมรักร่วมเพศนั้นมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดู ไม่ใช่พันธุกรรม และสามารถรักษาให้หายขาดได้

จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาระดับปริญญาโทจิตวิทยาการศึกษา จากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา และจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจิตวิทยาคลินิก จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกาและปริญญาเอกจิตวิทยาการให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ดร. วัลลภ เป็นที่รู้จักกันดีจากบทบาทที่เป็นนักจิตวิทยา ที่ให้ความเห็นต่อสังคมในประเด็นต่าง ๆ ในแง่ของจิตวิทยา เป็นวิทยากรให้ความรู้และที่ปรึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาในสื่อและในโอกาสต่าง ๆ อดีตอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และหัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จนเกษียณอายุราชการ